วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

วิทยาศาสตร์การออกกำลังกายและการกีฬา

46810118:            สาขา: วิทยาศาสตร์การออกกำลังกายและการกีฬา ;
                                ปร.ด. (วิทยาศาสตร์การออกกำลังกายและการกีฬา)
คำสำคัญ:                               อารมณ์/นักกีฬาไทย
                อาพรรณชนิด ศิริแพทย์: การพัฒนาแบบทดสอบระดับอารมณ์ของนักกีฬาไทย (DEVELOPMENT OF THE THAI ATHLETE MOOD SCALE) อาจารย์ผู้ควบคุมดุษฎีนิพนธ์:
นฤพนธ์ วงศ์จตุรภัทร, ph.D., นพวรรณ เปียซื่อ , ph.D., พิชิต เมืองนาโพธิ์ , ph.D.,170 หน้า.
ปี พ.ศ. 2550.
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
                1. เพื่อพัฒนาแบบทดสอบระดับอารมณ์ของนักกีฬาไทยที่ใช้ในการกีฬา ฉบับภาษาไทย
                2. เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติการวัด (Psychometric Properties) ของแบบทดสอบระดับอารมณ์ที่สร้างขึ้น ได้แก่ ความเที่ยง (Reliability) ความตรงเชิงเนื้อหา  (Content Validity)  ความตรงเชิงโครงสร้าง (Construct Validity) ความตรงตามสภาพ หรือความตรงร่วมสมัย  (Concurrent Validity)  และความตรงในการทำนาย  (Predictive Validity) ที่มีความเหมาะสมกับนักกีฬาไทย
ขอบเขตของการวิจัย
                การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบทดสอบ (Instrument Development) “ระดับอารมณ์สำหรับนักกีฬาฉบับภาษาไทย ซึ่งมีขอบเขตการศึกษาดังนี้
                1. การสร้างแบบทดสอบระดับอารมณ์สำหรับนักกีฬาไทย สร้างจากการศึกษาทฤษฎีเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ แบบทดสอบระดับอารมณ์ของบรูเนล ของ เทอร์รี่ และเลนน์ (Terry & Lane, 2002) และการสัมภาษณ์นักกีฬาไทยเกี่ยวกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในการแข่งขันกีฬา
                2. แบบทดสอบที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้สำหรับทดสอบระดับอารมณ์ของนักกีฬาไทยที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาของไทย
                3. กลุ่มตัวอย่างที่นำมาประกอบการสร้างและพัฒนาแบบทดสอบฉบับนี้ คือ นักกีฬาไทยที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา อายุ 18-21 ปี
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
                เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งเป็น 2 ระยะดังนี้
                1. ระยะที่ 1 การสร้างแบบทดสอบระดับอารมณ์ของนักกีฬาไทย
                2. ระยะที่ 2 การทดสอบคุณภาพของแบบทดสอบระดับอารมณ์ของนักกีฬาไทย
ขั้นตอนในการเก็บข้อมูล
                ก. ระยะที่ 1 เก็บข้อมูลเพื่อสร้างแบบทดสอบระดับอารมณ์ของนักกีฬาไทย
                ข. ระยะที่ 2 เก็บข้อมูลเพื่อทดสอบคุณภาพของแบบทดสอบระดับอารมณ์ของนักกีฬาไทย
การวิเคราะห์ข้อมูล
                1. ระยะที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างแบบทดสอบระดับอารมณ์ของนักกีฬาไทย
                2. ระยะที่ 2 การทดสอบคุณภาพของแบบทดสอบ
                3. ระยะที่ 3 การสร้างแบบแปลผลระดับอารมณ์ของนักกีฬาไทย ด้วยการหาค่าเกณฑ์ปกติ (Norm) ของแบบทดสอบ
สรุปขั้นตอนในการวิจัย

ผลการวิเคราะห์ข้อมูลและการสร้างแบบทดสอบ
                ส่วนที่ 1 การสร้างแบบทดสอบระดับอารมณ์ของนักกีฬาไทย
                ส่วนที่ 2 ข้อมูลการทดสอบคุณภาพของแบบทดสอบ TAMS
                ผู้วิจัยนำเสนอข้อมูลการทดสอบคุณภาพของแบบทดสอบ TAMS ดังนี้
                1. ข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง
                                1.1 ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง
                                1.2 ค่าสถิติพื้นฐานของข้อย่อยแต่ละข้อ
                2. ความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) 
                3. ความเที่ยง (Reliability)
                4. ความตรงเชิงโครงสร้าง (Construct Validity)
                                4.1 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (Exploratory Factor Analysis)
                                4.2 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis)
                5. ความตรงตามสภาพ หรือความตรงร่วมสมัย  (Concurrent Validity)
6. ความตรงในการทำนาย  (Predictive Validity)
                ส่วนที่ 3 การสร้างแบบแปลผลระดับอารมณ์ของนักกีฬาไทย
สรุปผลการวิจัย
                การวิจัยครั้งนี้ได้แบบทดสอบระดับอารมณ์ของนักกีฬาไทย (Thai Athlete Mood Scale:TAMS) ที่มีคุณภาพ แบบทดสอบประกอบด้วย 5 กลุ่มอารมณ์ จำนวน 33 ข้อย่อย มีระดับคำตอบ 5 ระดับแบบลิเคิต ให้คะแนนเรียงลำดับจากน้อยไปมาก คือ ไม่เกิดขึ้นเลย” = 0, “เกิดขึ้นเล็กน้อย” = 1, “เกิดขึ้นบ้าง” = 2, “เกิดขึ้นมาก” = 3, และ เกิดขึ้นมากที่สุด” = 4


               

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

มวยไทนในพณิชยการราชดำเนิน




                                  รวมสุดยอดนักมวยไทยแห่งค่ายมวย  "พณิชยการราชดำเนิน" 
โดยการนำของอาจารย์กฤษฎา  จุลชาต  ผู้จัดการและหัวหน้าคณะ  และ อาจารย์สิรายุทธ  พับเพลิง 
 หรือชาติชาย  ว.วลาพล ผู้ฝึกสอน  โดยวิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการราชดำเนิน  ส่งเสริมสนับสนุนในด้านกีฬาทุกประเภท  ดังปรัชญาของสถาบันที่ว่าด้วย  "การเรียนดี  กีฬาเด่น  เน้นคุณธรรม  กิจกรรมเป็นเลิศ"
 ผลงานในด้านมวยไทยอาชีพ  ประกอบไปด้วยแชมป์เวทีมาตรฐานอย่างคับคั่ง  ดังต่อไปนี้


ยอดพนมรุ้ง  พณิชยการราชดำเนิน แชมป์  115  เวทีมวยสยามอ้อมน้อย


พระจันทร์ฉาย  พณิชยการราชดำเนิน  แชมป์  105  เวทีมวยราชดำเนิน

เก่งกล้า   พณิชยการราชดำเนิน   แชมป์  108  เวทีมวยช่องเจ็ดสี

รุ่งเพชร  พณิชยการราชดำเนิน  แชมป์   118  เวทีมวยลุมพินี


สมรรถภาพทางกาย

สมรรถภาพทางกาย

เมื่อพิจารณาถึงสมรรถภาพทางกายภาพตลอดชั่วชีวิตของคนเรา พบว่า คนเรานั้นจะมีสมรรถภาพทางกายดีขึ้นจากวัยเด็กเรื่อยมาจนถึงจุดสูงสุดในช่วงอายุ 25 – 30 ปี ต่อจากนั้นสมรรถภาพทางกายและวุฒิภาวะจะเริ่มลดลงตามลำดับ
การมีสุขภาพดีเป็นรากฐานของการมีสมรรถภาพทางกายที่ดี ดังนั้น สมรรถภาพจึงเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสามารถของร่างกายในการที่จะประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
โดยทั่วไปสมรรถภาพทางกายแบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ
1. 1. สมรรถภาพทางกายทั่วไป (General Physical fitness)
2. 2. สมรรถภาพทางกายพิเศษ (Special Physical fitness)
มรรถภาพทางกายทั่วไป (General Physical fitness)
คณะกรรมการนานาชาติ เพื่อจัดมาตรฐานการทดสอบความสมบูรณ์ทางด้านร่างกาย (International for the Standardization of Physical fitness Test) ได้จำแนกความสมบูรณ์ทางกายออกเป็น 7 ประเภท คือ
1. 1. ความเร็ว (Speed) คือ ความสามารถของร่างกายในการเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยใช้ระยะเวลาสั้นที่สุด
2. 2. พลังกล้ามเนื้อ (Muscle Power) คือ ความสามารถของกล้ามเนื้อในการทำงานอย่างรวดเร็ว และแรงในจังหวะของกล้ามเนื้อหดตัวหนึ่งครั้ง เช่น ยืนกระโดดไกล
3. 3. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscle Strength) คือ ความสามารถของกล้ามเนื้อที่หดตัว เพียงครั้งเดียวโดยไม่จำกัดเวลา เช่น การยกน้ำหนัก เป็นต้น
4. 4. ความอดทนของกล้ามเนื้อ (Muscle endurance , Anaerobic Capacity) คือ ความสามารถของกล้ามเนื้อที่ได้ประกอบกิจกรรมซ้ำซากได้เป็นระยะเวลานานอย่างมีประสิทธิภาพ
5. 5. ความคล่องตัว (Agility) คือ ความสามารถของร่างกายที่จะบังคับควบคุมในการเปลี่ยนทิศทางของการเคลื่อนที่ได้ด้วยความรวดเร็วและแน่นอน
6. 6. ความอ่อนตัว (Flexibility) คือ ความสามารถของข้อต่อต่าง ๆ ในการที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างกว้างขวาง
7. 7. ความอดทนทั่วไป (General endurance) คือ ความสามารถในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายที่ทำงานได้นานและมีประสิทธิภาพ


 

การเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายทั่วไป (General Physical fitness)

1. 1. การเสริมสร้างความเร็ว ( Speed )
ความเร็วของการเคลื่อนไหว ขึ้นอยู่กับการทำงานของระบบประสาท และระบบกล้ามเนื้อ
และการเปลี่ยนแปลงความเร็ว ซึ่งเกิดจากระบบประสาทเป็นส่วนใหญ่
เมื่อกล่าวถึงความเร็วในการออกกำลังกายแล้ว จะต้องแยกการเคลื่อนไหวออกเป็น 2 อย่าง คือ การเคลื่อนไหวที่ต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ กับการเคลื่อนไหวแบบธรรมดาง่ายๆ ดังนั้น การฝึกการเคลื่อนไหวที่ต้องอาศัยความชำนาญพิเศษ เพื่อเพิ่มความเร็ว จึงเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายกว่า เช่น ฝึกว่ายน้ำ ตีเทนนิส หรือพิมพ์ดีด เป็นต้น ซึ่งในช่วงแรกของการฝึกจะกระทำได้ช้า แต่ต่อมา จะสามารถเพิ่มความเร็วขึ้นได้เรื่อยๆ และในการเริ่มต้นของการฝึกถ้ากระทำให้ถูกวิธี จะเป็นส่วนผลักดันให้มีการพัฒนาไปได้ไกลและมีประสิทธิภาพอีกด้วย สำหรับความเร็วที่ใช้ในการเคลื่อนไหวแบบธรรมดานั้น ได้แก่ การแข่งขันวิ่งเร็ว ถ้าต้องการจะวิ่งให้เร็วขึ้นจะต้องลดระยะเวลาของการหดตัวและการคลายตัวของกล้ามเนื้อ นั่นคือ ความยาวของก้าวและความถี่ของก้าวจะต้องเพิ่มขึ้น
ความยาวของการก้าวเท้าขึ้นอยู่กับความยาวของเขา และความถี่ของการก้าวเท้าขึ้นอยู่กับความเร็วในการหดตัวของกล้ามเนื้อ และการร่วมมือกันทำงานระหว่างระบบประสาทกับระบบกล้ามเนื้อ
ความเร็วสูงสุดของคนเรานั้น จะอยู่ในช่วงอายุ 21 ปีสำหรับชาย และ 18 ปีสำหรับหญิง ในการที่จะเพิ่มความเร็วอาจจะกระทำได้อีก กล่าวคือ
1. 1. เพิ่มกำลังของกล้ามเนื้อที่ใช้เหยียดขา
2. 2. ฝึกวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการร่วมงานกันของกลุ่มกล้ามเนื้อ
3. 3. แก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ เกี่ยวกับเทคนิคและกลไกของการวิ่ง


2. 2. การเสริมสร้างพลังกล้ามเนื้อ (Muscle Power)
พลังของกล้ามเนื้อเกิดจากการรวมของปัจจัยต่อไปนี้
1. 1. แรงที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อหลาย ๆ มัด ที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในกลุ่มเดียวกัน
2. 2. ความสามารถของกล้ามเนื้อในกลุ่มเดียวกันที่ทำงานประสานกับกล้ามเนื้อของกลุ่มตรงข้าม
3. 3. ความสามารถทางกลไกในการทำงานของระบบคนระหว่างกระดูกกับกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง


3. การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscle Strength)
จากหลักการที่ว่า วิธีที่จะทำให้เกิดความแข็งแรงได้นั้น จะต้องฝึกให้กล้ามเนื้อทำงานต่อสู้กับแรงต้านทานหรือน้ำหนักที่สูงขึ้น โดยวิธีเพิ่มแรงต้านทานทีละน้อยเป็นระยะเวลานาน
วิธีการฝึกเพื่อพัฒนาความแข็งแรงนั้นมีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบต่างก็ยึดเอาแรงต้านทาน เป็นสำคัญสำหรับพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หรือยึดหลัก “Overload Principle” โดยให้ร่างกายฝึกเลยขีดความสามารถปกติ (Normal Capacity) สักเล็กน้อย ซึ่งการออกกำลังกายที่เกินขีดความสามารถนี้จะทำให้ร่างกายเกิดการสับสน ในระยะ 2 – 3 วันแรก หลังจากนั้น ร่างกายจะมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ โดยปกติหากเราให้เวลาแก่ร่างกาย เพื่อการปรับตัวประมาณ 1 เดือน จะทำให้ร่างกายทำงานในขีดความสามารถธรรมดาใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ ร่างกายมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น ขีดความสามารถก็สูงขึ้นด้วย ในปัจจุบันวิธีการฝึกเพื่อพัฒนาความแข็งแรง จะใช้การฝึกแบบ Isometric Exercise
4. การเสริ มสร้างความอดทนของกล้ามเนื้อ (Muscle Endurance)
ในการเสริมสร้างความอดทนหรือทนทานของกล้ามเนื้อ เท่ากับเป็นการเสริมสร้างการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด ระบบหายใจ และระบบกล้ามเนื้อ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การฝึกเพื่อเสริมสร้างคุณสมบัติดังกล่าว ก็คล้ายกับการฝึก เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง เพราะต่างก็ยึดหลัก Overload Principle พร้อมทั้งมีความเข้มข้น ระยะเวลา และความบ่อยอย่างเพียงพอ และเหมาะสมสำหรับแต่ละคน


5. การเสริมสร้างความคล่องตัว (Agility)
ความคล่องตัวมีผลต่อประสิทธิภาพของการปฏิบัติกิจกรรมทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่ต้องอาศัยการเปลี่ยนทิศทางหรือเปลี่ยนตำแหน่งของร่างกาย ที่ต้องการความรวดเร็ว และถูกต้อง เช่น การออกวิ่งได้เร็ว หยุดได้เร็ว และเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว ฉะนั้น ความคล่องตัวจึงเป็นพื้นฐานของสมรรถภาพทางกาย และเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเล่นกีฬาหลายอย่าง เช่น บาสเกตบอล แบดมินตัน ยิมนาสติก ฟุตบอล วอลเลย์บอล เป็นต้น


6. การเสริมสร้างความอ่อนตัว (Flexibility)
ความอ่อนตัว หมายถึง พิกัดการเคลื่อนไหวของข้อต่อ (The Range of Motion at a Joint) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 อย่าง คือ
1. 1. Static Flexibility หมายถึง พิกัดการเคลื่อนไหวขณะที่ข้อต่อเคลื่อนไหวช้ามาก ๆ
2. 2. Dynamic Flexibility หมายถึง พิกัดการเคลื่อนไหวขณะที่ข้อต่อเคลื่อนไหวเร็ว ๆ ซึ่งมักจะมากกว่าแบบแรกเล็กน้อย
ความสามารถของข้อต่อต่าง ๆ ในการเคลื่อนไหวได้อย่างกว้างขวาง ก็คือ ความสามารถ
ในการอ่อนตัว และการเคลื่อนไหวใด ๆ ถ้าไม่ได้ทำบ่อย ๆ หรือไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้ข้อต่อบริเวณนั้นๆ จะมีผลทำให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณนั้นเสียความสามารถในการยืดตัว จึงทำให้การอ่อนตัวไม่ดีไปด้วย และทำให้มีไขมันสะสมอยู่ในร่างกายเพิ่มขึ้น เท่ากับเป็นการลดความสามารถของการอ่อนตัวลงไปด้วย
โดยทั่วไปผู้ที่มีสมรรถภาพทางกายดีจะต้องมีความอ่อนตัวดี และความอ่อนตัวจะดีได้จะต้องปราศจากข้อจำกัดต่อไปนี้ คือ
1. 1. โรคหรือการบาดเจ็บ ที่ทำให้ข้อต่อรวมทั้งกระดูกอ่อนที่หุ้มปลายกระดูกเสื่อมลง
2. 2. การมีสารที่เป็นอันตรายปรากฎอยู่ที่ข้อต่อ
3. 3. การอักเสบของเยื่อหุ้มข้อต่อ
4. 4. น้ำหล่อลื่นในข้อต่อแห้งหรือมีน้อยเกินไป


7. การเสริมสร้างความอดทนทั่วไป (General Endurance)
ความอดทนหรือความทนทาน หมายถึง ความสามารถของร่างกาย ที่ทนต่อการทำงานที่มีความเข้มข้นของงานระดับปานกลางได้เป็นระยะเวลานาน
ความอดทนแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. 1. ความอดทนของระบบไหลเวียนและระบบหายใจ (Circulorespiratory Endurance)
2. 2. ความอดทนของกล้ามเนื้อแต่ละแห่งของร่างกาย (Local Muscle Endurance)


วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มวยไทย




                                            
 ผมชื่อนายสิรายุทธ  พับเพลิง  (ชาติ)  จบพลศึกษาระดับปริญญาตรี  ปี2544  เป็นนักกีฬามวยไทยอาชีพ  โดยใช้ชื่อชกมวยไทยว่า  ชาติชาย  ว.วลาพล และเป็นนักกีฬามวยสากลสมัครเล่นของเยาวชนทีมชาติไทย  นักกีฬามวยสากลสมัครเล่นของมหาวิทยาลัย  ปัจจุบันเป็นผู้ฝึกสอนมวยไทยอาชีพและมวยสากลสมัครเล่นของเขต  10  กรุงเทพมหานคร  รวมถึงผู้ฝึกสอนมวยไทยมวยสากลสมัครเล่นของวิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการราชดำเนิน  ซึงเป็นสถานที่ทำงานในปัจจุบัน  ที่เขียนบทความเกี่ยวกับกีฬามวยไทยขึ้นมาในครั้งนี้ด้วยความชื่นชอบและต้องการเผยแพร่ศิลปะแม่ไม้มวยไทยดังรายละเอียดในบทความต่อไปนี้



ศิลปะมวยไทย เป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธมือเปล่า ทั้งในระยะห่างตัว ระยะใกล้ตัว และระยะประชิดตัว จนได้รับการยอมรับว่า เป็นการต่อสู้ที่ผสมผสานของศาสตร์และศิลป์ได้อย่างสวยงามและอันตรายยิ่งมวยไทยนั้นมีมาพร้อมกับคนไทย เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติไทยมาช้านาน ในสมัยโบราณประเทศไทยมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ จึงมีการสู้รบกันอยู่เสมอๆ ดังนั้นชายไทยจึงนิยมฝึกมวยไทยควบคู่กับการฝึกอาวุธ ต่อมาได้วิวัฒนาการจนกลายเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น มีลีลาการเคลื่อนไหวที่สวยงามแฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่งดุดัน สามารถฝึกเพื่อป้องกันตนเอง เพื่อความแข็งแรงของร่างกาย และเพื่อเป็นอาชีพได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ความเป็นมาของมวยไทย มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในเชิงกีฬาและการต่อสู้จริง ๆ ศิลปะประเภท นี้มีมาแต่โบราณกาล บรรพบุรุษของชาติไทยได้ฝึกฝนอบรมสั่งสอนกุลบุตรไว้เพื่อป้องกันตัวและชาติ บรรดาชายฉกรรจ์ของไทยได้รับการฝึกฝน วิชามวยไทยแทบทุกคน นักรบผู้กระเดื่องนามทุกคนต้องได้รับการฝึกฝนอบรมศิลปะประเภทนี้อย่างจัดเจนทั้งสิ้น เพราะการใช้อาวุธในสมัยโบราณ เช่น กระบี่ พลอง ดาบ ง้าว ทวน ฯลฯ ถ้ามีความรู้วิชามวยไทยประกอบด้วยแล้วจะทำให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เข้าต่อสู้ติดพันประชิดตัว ก็จะได้อาศัยใช้อวัยวะบางส่วนเข้าช่วย เช่น เข่า เท้า ศอก เป็นต้น แต่เดิมมาศิลปะมวยไทยที่มีชั้นเชิงสูงมักจะฝึกสอนกันในบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ หรือเฉพาะพระมหากษัตริย์และขุนนางฝ่ายทหารเท่านั้น ต่อมาจึงได้แพร่หลายไปถึงสามัญชนซึ่งได้รับการถ่ายทอดวิทยาการจากบรรดา อาจารย์ซึ่งเดิมเป็นขุนพลหรือยอดนักรบมาแล้ว วิทยาการจึงได้แพร่หลายและคงอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้
 มวยไทยนั้นมีมาพร้อมกับคนไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติไทยมาช้านานในสมัยโบราณประเทศไทยมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ จึงมีการสู้รบกันอยู่เสมอๆ ดังนั้นชายไทยจึงนิยมฝึกมวยไทยควบคู่กับการฝึกอาวุธต่อมาได้วิวัฒนาการจนกลายเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้นมีลีลาการเคลื่อนไหวที่สวยงามแฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่งดุดันสามารถฝึกเพื่อป้องกัน ตนเองเพื่อความแข็งแรงของร่างกายและเพื่อเป็นอาชีพได้เป็นอย่างดีอีกด้วย




 
                                                    


(จ ากe-learning กลุ่มสาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช่วงชั้นที่ 3)

 
กติกาข้อที่ 1 " สังเวียน "
ในการแข่งขันทั่ว ๆ ไป สังเวียนต้องเป็นไปตามข้อกำหนดต่อไปนี้

 
กติกาข้อที่ 2 อุปกรณ์สังเวียน
อุปกรณ์ประจำสังเวียนจะต้องประกอบด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้

 
กติกาข้อที่ 3 " นวม "
นวมที่ใช้ในการแข่งขันแต่ละครั้ง ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

 
กติกาข้อที่ 4 " ผ้าพันมือ "
ให้ใช้ผ้าพันมืออย่างอ่อนยาวข้างละไม่เกิน 6 เมตร กว้างไม่เกิน 5 ซม. ผ้าพันมือชนิดอื่นใช้ไม่ได้ แถบกาวยางหรือพลาสเตอร์ทุกชนิด เป็นผ้าพันมือไม่ได้เด็ดขาด อาจใช้ พลาสเตอร์ยางไม่เกิน 2.5 เมตร กว่าง 2.5 ซม. ข้างละ 1 เส้น ปิดทับข้อมือหรือหลังมือห้ามพันทับสันหมัด

 
กติกาข้อที่ 5 " เครื่องแต่งกาย "
ก. การแต่งกายของผู้เข้าแข่งขัน
            ต้องสวมกางเกงขาสั้นเพียงครึ่งโคนขาให้เรียบร้อยไม่สวมเสื้อและรองเท้านักมวยมุมแดงให้กางเกงสีแดง ชมพู สีเลือดหมู หรือสีขาวที่มีแถบแดงคาด นักมวยมุมน้ำเงินใช้กางเกงสีน้ำเงิน และสีดำ ห้ามคาดแถบสีแดง และต้องสวมเสื้อคลุมตามข้อบังคับสภาพมวยไทยโลก
           ต้องสวมกระจับที่ทำขึ้นจากวัสดุแข็งแรงทนทาน และได้รับการรับรองจากสภามวยไทยโลกเมื่อถูกตีด้วยเข่าหรืออาวุธในการต่อสู้อย่างอื่นตรงบริเวณ อวัยวะเพศจะไม่ทำให้เกิดอันตราย การผูกกระจับต้องผูกปมไว้ด้านหลัง และต้องผูกด้วยเงื่อนตาย เก็บปลายเชือกส่วนที่เหลือให้เรียบร้อย
           ห้ามไว้ผมยาวรุงรัง และห้ามไว้เครา อนุญาตให้ไว้หนวดได้แต่ต้องยาวไม่เกินริมฝีหาก เล็บเท้า ต้องตัดให้เรียบและสั้น
           ต้องสวมมงคลผ้าประเจียด หรือรัดเกล้า เฉพาะเวลาร่ายรำไหว้ครู ก่อนทำการแข่งขันเท่านั้น เครื่องรางอนุญาตให้ผูกที่โคนแขน หรือเอว แต่ต้องหุ้มผ้าให้มิดชิดเรียบร้อย เพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายแก่คู่แข่งขัน
           อนุญาตให้ใช้ปลอกยืดรัดข้อเท้ากันเคล็ด สวมข้อเท้าได้ข้างละไม่เกิน 1 อัน แต่ห้ามมิให้เลื่อนปลอกรัดขึ้นไปเป็นสนับแข้งหรือม้วนพับลงมา และห้ามใช้ผ้ารัดขาและข้อเท้า
          ห้ามใช้เข็มขัดหรือสิ่งที่เป็นโลหะ สร้อย ฯลฯ
          ห้ามใช้น้ำมันวาสลิน น้ำมันร้อน ไขหรือสมุนไพร หรือสิ่งอื่นที่ทำให้คู่แข่งขันเสียเปรียบหรือเป็นที่น่ารังเกียจทาร่างกายหรือนวม
          ฟันยาง ผู้แข่งขันต้องใส่ฟันยาง
ข. การละเมิดเกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย ผู้ชี้ขาดจะให้นักมวยที่แต่งกายไม่สะอาดถูกต้องออกจากการแข่งขัน ในกรณีที่นวมหรือเครื่องแต่งกายของนักมวยไม่เรียบร้อยขณะแข่งขัน ผู้ชี้ขาดจะหยุดการแข่งขันเพื่อจัดให้เรียบร้อย



กติกาข้อที่ 6 " การจำแนกรุ่นและการชั่งน้ำหนัก "

ก. การจำแนกรุ่น และน้ำหนักที่ใช้ในการแข่งขัน
          รุ่นมินิฟลายเวท น้ำหนักอย่างมากไม่เกิน 104 ปอนด์ (47.727 กก.)
          รุ่นจูเนียร์ฟลายเวท น้ำหนักอย่างมากไม่เกิน 108 ปอนด์ (48.988 กก.)
          รุ่นฟลายเวท น้ำหนักอย่างมากไม่เกิน 112 ปอนด์ (50.802 กก.)
          รุ่นจูเนียร์แบนตั้มเวท น้ำหนักอย่างมากไม่เกิน 115 ปอนด์ (52.163 กก.)
          รุ่นแบนตั้มเวท น้ำหนักอย่างมากไม่เกิน 118 ปอนด์ (53.524 กก.)
          รุ่นจูเนียร์เฟเธอร์เวท น้ำหนักอย่างมากไม่เกิน 122 ปอนด์ (55.338 กก.)
          รุ่นเฟเธอร์เวท น้ำหนักอย่างมากไม่เกิน 126 ปอนด์ (57.153 กก.)
          รุ่นจูเนียร์ไลท์เวท น้ำหนักอย่างมากไม่เกิน 130 ปอนด์ (58.967 กก.)
          รุ่นไลท์เวท น้ำหนักอย่างมากไม่เกิน 135 ปอนด์ (61.235 กก.)
          รุ่นจูเนียร์เวลเตอร์เวท น้ำหนักอย่างมากไม่เกิน 140 ปอนด์ (63.503 กก.)
          รุ่นเวลเตอร์เวท น้ำหนักอย่างมากไม่เกิน 147 ปอนด์ (66.638 กก.)
          รุ่นจูเนียร์มิดเดิลเวท น้ำหนักอย่างมากไม่เกิน 154 ปอนด์ (69.843 กก.)
          รุ่นมิดเดิลเวท น้ำหนักอย่างมากไม่เกิน 160 ปอนด์ (71.575 กก.)
          รุ่นไลท์เฮฟวี่เวท น้ำหนักอย่างมากไม่เกิน 175 ปอนด์ (79.379 กก.)
          รุ่นครุยเซอร์เวท น้ำหนักอย่างมากไม่เกิน 190 ปอนด์ (86.183 กก.)
          รุ่นเฮฟวี่เวท น้ำหนักเกิน 190 ปอนด์ขึ้นไป (86.183 กก. ขึ้นไป)
ข. การชั่งน้ำหนัก
          ผู้เข้าแข่งขันต้องชั่งน้ำหนักในวันแข่งขันอย่างตัวเปล่า โดยการาแข่งขันจะต้องไม่เริ่มขึ้นก่อน 3 ชั่วโมง ภายหลังจากเวลาชั่งน้ำหนัก
          เมื่อหมดเวลาชั่งน้ำหนักที่กำหนดไว้ ผู้แข่งขันที่น้ำหนักเกินในการชั่งครั้งก่อน ให้ทำการชั่งเป็นครั้งสุดท้าย
         ก่อนชั่งน้ำหนัก ผู้เข้าแข่งขัน ต้องได้รับการรับรองและการตรวจจากนายแพทย์ที่ได้รับการแต่งตั้งว่าเป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์ที่จะเข้าแข่ง ขันได้


         นวมที่ใช้ในการแข่งขัน ผู้แข่งขันต้องใช้นวมที่ได้รับการรับรองจากสภามวยไทยโลก ซึ่งคณะกรรมการจัดการแข่งขันจัดไว้ให้เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ผู้แข่งขัน ใช้นวมของตัวเอง
         รายละเอียดของนวม นักมวยตั้งแต่รุ่นเล็กถึงรุ่นน้ำหนัก 122 ปอนด์ ใช้นวมขนาด 8 ออนซ์ ( กรัม) นักมวยรุ่นสูงกว่า 122 ปอนด์ ถึงรุ่นน้ำหนัก 147 ปอนด์ ใช้นวมขนาด 10 ออนซ์ (284 กรัม) ส่วนที่เป็นหนังต้องหนักไม่เกินครึ่งหนึ่งของน้ำหนักนวมทั้งขนาดและไส้นวมต้องมีน้ำหนักไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของน้ำหนัก นวมทั้งหมด ไส้นวมต้องไม่เปลี่ยนรูปหรือถูกบดขยี้ให้กระจายไปจากรูปเดิม ต้องผูกเชือกนวมให้ปมเชือกอยู่ด้านนอกหลังข้อมือของนวม ให้ใช้นามที่สะอาด และให้การได้เท่านั้น
          การตรวจผ้าพันมือและการสวมนวม ทั้งนวมและผ้าพันมือจะต้องเหมาะสม อยู่ภายใต้การตรวจตราของเจ้าหน้าที่ตรวจนวม เจ้าหน้าที่จะต้องคอยดูแลเพื่อให้แน่ใจว่า นักมวยปฏิบัติถูกต้องตามกติกาทุกอย่าง จนกระทั่งนักมวยขึ้นสู่เวที


          ที่นั่งพักนักมวย สำหรับนักมวยนั่งพักระหว่างยก 2 ที่
ขวดน้ำขนาดเล็ก 2 ขวด สำหรับดื่ม และขวดน้ำชนิดพ่นฝอย 2 ขวด ไม่อนุญาตให้นักมวยหรือที่เลี้ยงใช้ขวดน้ำชนิด   อื่น ๆ ในสังเวียน
         ผ้าเช็ดตัว 2 ผืน
         น้ำ 2 ถัง
        โต๊ะและเก้าอี้สำหรับเจ้าหน้าที่
        ระฆัง
นาฬิกาจับเวลาชนิดกดหยุดได้ 1 หรือ 2 เรือน
ใบบันทึกคะแนน
หีบใส่กุญแจสำหรับเก็บใบบันทึกคะแนน
ป้ายบอก ยก – เวลา – คู่ 1 ชุด
นวม 2 คู่
กางเกงมวยสีแดง และสีน้ำเงิน อย่างละ 1 ตัว
กระจับพร้อมเชือก 1 – 2 อัน
ฉากบังตา 2 อัน (ใช้ในกรณีที่นักมวยกระจับหลุด)
เปลหามคนเจ็บ 1 ชุด
กรรไกรปลายมน 1 อัน


ขนาด สังเวียนต้องเย็บมุมสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดเลิก ด้านละ 20 ฟุต (6.10 เมตร) และขนาดใหญ่ ด้านละ 24 ฟุต (7.30 เมตร) ซึ่งวัดภายในของเชือก
พื้นและมุม พื้นสังเวียนต้องสร้างให้ปลอดภัย และได้ระดับปราศจากสิ่งกีดขวางใด ๆ และต้องยื่นออกไปนอกเชือก อย่างน้อย 90 ซม. (36 นิ้ว) พื้นสังเวียนต้องอยู่สูงจากพื้นอาคารไม่ต่ำกว่า 4 ฟุต และสูงไม่เกิน 5 ฟุต ตั้งเสาขนาด 4-5 นิ้ว สูงขึ้นไปจากพื้นเวที 58 นิ้ว มุมทั้งสี่ต้องหุ้มนวมให้เรียบร้อยหรือจะทำอย่างใดที่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่นักมวย
การปูพื้นสังเวียน พื้นสังเวียนต้องปูด้วย ยาง ผ้าอย่างอ่อน เสื่อฟางอัด ไม้ก๊อกอัดหรือวัสดุอื่นที่เหมาะสม หนาไม่น้อยกว่า 1 นิ้ว และไม่หนากว่า 1? นิ้ว และปูทับด้วยผ้าใบให้ตึงและมิดชิดคลุมพื้นสังเวียนทั้งหมด
เชือก ต้องมีเชือก 4 เส้น มีความหนาอย่างน้อย 3 ซม. (1.18 นิ้ว) อย่างมาก 5 ซม. (1.97 นิ้ว) ขึงตึงกับเสามุมทั้งสี่ของสังเวียน สูงจากฟื้นสังเวียนขึ้นไปถึง ด้านบนของเชือก 45 ซม. (18 นิ้ว) 75 ซม. (30 นิ้ว) 105 ซม. (42 นิ้ว) และ 135 ซม. (54 นิ้ว) ตามลำดับเชือกต้องหุ้มด้วยวัสดุที่อ่อนนุ่มและเรียบ เชือกแต่ละด้านของสังเวียนต้องผูกยึดกันด้วยผ้าเหนียว 2 ชิ้น ซึ่งมีขนาดกว้าง 3 – 4 ซม. (1.2 – 1.6 นิ้ว) ให้มีระยะห่างเท่า ๆ กัน และผ้าที่ผูกนั้นต้อง ไม่เลื่อนไปตามเชือก
บันได สังเวียนต้องมีบันได 3 บันได มีขนาดกว้างไม่น้อยกว่า 3 ? ฟุต สองบันไดต้องอยู่ที่มุมตรงข้ามสำหรับผู้เข้าแข่งขันและพี่เลี้ยง ส่วนอีกบันไดหนึ่ง ให้อยู่ที่มุม กว้าง สำหรับผู้ชี้ขาดและแพทย์
กล่องพลาสติก ที่มุมกลางทั้งสองมุมนอกสังเวียน ให้ติดกล่องพลาสติกมุมละ 1 กล่อง เพื่อให้ผู้ชี้ขาดทิ้งสำลี หรือกระดาษที่ใช้ซับเลือก

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มวยไทยครับผม

มวยไทยเป็นศิลปประจำชาติไทย  ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ  สำหรับมวยไทยที่มีการแข่งขันในเมืองไทยในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยนิยมที่จะใช้ศิลปแม่ไม้มวยไทยกันเท่าที่ควรสาเหตุเนื่องจากนิยมใช้พละกำลังและความแข็งแรงเป็นหลักเกณฑ์ในการตัดสินและให้คะแนน